ค่าความดันโลหิต ตัวชี้วัดสุขภาพที่คุณไม่ควรละเลย
ค่าความดัน (Blood Pressure) คือ ตัวชี้วัดสุขภาพพื้นฐานที่มีผลโดยตรงต่อการทำงานของระบบหัวใจ และ หลอดเลือด ค่าความดันที่เหมาะสมช่วยให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดี และ ป้องกันการเกิดโรคร้ายแรง เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคหัวใจ และ ไตวาย ในทางตรงกันข้าม หากค่าความดันผิดปกติ อาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น การเสื่อมสภาพของอวัยวะ หรือ ภาวะหัวใจล้มเหลว
ในบทความนี้ เราจะอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับ ค่าความดัน ตั้งแต่ความหมาย โครงสร้างของตัวเลข ความสำคัญของการวัดค่าที่ถูกต้อง ปัจจัยที่มีผลกระทบ และ แนวทางการดูแลสุขภาพสำหรับผู้ที่มีปัญหาความดันโลหิต
โครงสร้าง และ ความหมายของค่าความดัน
ค่าความดัน คือ ค่าที่บ่งบอกแรงดันที่เลือดกระทำต่อผนังหลอดเลือดแดงในระหว่างการไหลเวียน ซึ่งแสดงออกเป็นตัวเลขสองค่า ได้แก่
ค่าความดัน ตัวบน (Systolic Pressure)
ค่าความดันตัวบนแสดงถึงแรงดันสูงสุดในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจบีบตัวเพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตัวเลขนี้สำคัญเพราะบ่งบอกถึงประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจในจังหวะที่ต้องการพลังงานมากที่สุด
ค่าความดัน ตัวล่าง (Diastolic Pressure)
ค่าความดันตัวล่างแสดงถึงแรงดันต่ำสุดในหลอดเลือดแดงขณะหัวใจพักระหว่างการเต้น ค่านี้สะท้อนถึงการผ่อนคลาย และ ประสิทธิภาพของหลอดเลือดในการรองรับแรงดัน โดยทั่วไป ค่า 120/80 mmHg ถือเป็นค่าความดันโลหิตที่เหมาะสมที่สุดสำหรับผู้ใหญ่
เกณฑ์การวัดค่าความดันโลหิต
องค์การอนามัยโลก (WHO) และ สมาคมแพทย์โรคหัวใจได้กำหนดระดับค่าความดันโลหิตเป็นแนวทางในการประเมินสุขภาพ ดังนี้
ความดันโลหิตปกติ (Normal Blood Pressure)
ค่าความดันโลหิตที่ต่ำกว่า 120/80 mmHg ถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ หมายความว่าระบบไหลเวียนโลหิตมีความสมดุล และ หัวใจทำงานได้ดี
ความดันโลหิตสูงระดับเริ่มต้น (Prehypertension)
ค่าความดันที่อยู่ในช่วง 121–139/81–89 mmHg สะท้อนถึงความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจหรือหลอดเลือดในอนาคต หากไม่มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาจนำไปสู่ภาวะความดันโลหิตสูง
ความดันโลหิตสูงระดับ 1 (Stage 1 Hypertension)
ค่าความดันที่อยู่ในช่วง 140–159/90–99 mmHg ถือเป็นความดันโลหิตสูงในระดับเบื้องต้น และ ควรเริ่มการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือการรักษา
ความดันโลหิตสูงระดับ 2 (Stage 2 Hypertension)
ค่าความดันที่เกิน 160/100 mmHg เป็นภาวะที่ต้องได้รับการดูแลทางการแพทย์อย่างใกล้ชิด เพราะเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายแรง เช่น เส้นเลือดในสมองแตก
ความดันโลหิตต่ำ (Hypotension)
ค่าความดันที่ต่ำกว่า 90/60 mmHg อาจส่งผลให้ร่างกายขาดเลือดไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญ ทำให้เกิดอาการหน้ามืด วิงเวียน หรือ หมดสติ
ปัจจัยที่ส่งผลต่อค่าความดันโลหิต
ปัจจัยที่เพิ่มความดันโลหิต
- อาหาร : การบริโภคเกลือในปริมาณสูง หรือ อาหารที่มีไขมันอิ่มตัว
- พฤติกรรม : ขาดการออกกำลังกาย การสูบบุหรี่ และ การดื่มแอลกอฮอล์
- ความเครียด : ความเครียดเรื้อรังส่งผลให้หลอดเลือดหดตัว
- โรคประจำตัว : เบาหวาน โรคอ้วน และ โรคไต
ปัจจัยที่ลดความดันโลหิต
- การขาดน้ำ : ทำให้ปริมาณเลือดลดลง
- การใช้ยา : เช่น ยาขับปัสสาวะ หรือ ยาลดความดันโลหิต
- ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง : เช่น โรคหัวใจ หรือ ความผิดปกติของระบบต่อมหมวกไต
ผลกระทบของค่าความดันโลหิตที่ผิดปกติ
ผลกระทบจากค่าความดันโลหิตสูง
- โรคหัวใจและหลอดเลือด : เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด หรือ หลอดเลือดสมองตีบ
- โรคไตเรื้อรัง : หลอดเลือดเล็กในไตเสียหายจากแรงดันสูง
- อัมพฤกษ์ : เส้นเลือดในสมองแตก หรือ อุดตัน
ผลกระทบจากค่าความดันโลหิตต่ำ
- อาการหน้ามืด : การลดลงของเลือดไปเลี้ยงสมอง
- ภาวะช็อก : การลดลงของแรงดันโลหิตอย่างรุนแรงทำให้อวัยวะล้มเหลว
วิธีการวัดค่าความดันที่ถูกต้อง
การวัดความดันโลหิตที่แม่นยำมีขั้นตอน ดังนี้
- เลือกเวลาที่เหมาะสม : ควรวัดในตอนเช้าหลังตื่นนอน
- พักผ่อนก่อนวัด : นั่งพักอย่างน้อย 5 นาที ในสภาพแวดล้อมที่เงียบ
- นั่งในท่าที่ถูกต้อง : วางแขนในระดับเดียวกับหัวใจ
การดูแลรักษาค่าความดัน
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
- การรับประทานอาหารที่เหมาะสม : ลดการบริโภคเกลือ และ ไขมัน
- การออกกำลังกาย : เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือ ปั่นจักรยาน
- ลดความเครียด : ด้วยการทำสมาธิ หรือ การผ่อนคลาย
การใช้ยา
ในกรณีที่การปรับพฤติกรรมไม่เพียงพอ อาจต้องใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์
บทสรุป
ค่าความดันโลหิตเป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพที่สำคัญ การรักษาค่าความดันให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ และ โรคหลอดเลือดสมอง การดูแลสุขภาพผ่านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม วัดค่าความดันอย่างสม่ำเสมอ และ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้คุณมีสุขภาพที่แข็งแรงในระยะยาว
แหล่งอ้างอิง
ความดันต่ำ ดีกว่าความดันสูงจริงหรือ
ตัวเลขค่าความดันโลหิตบ่งบอกอะไร?
การแปลผลค่าความดันโลหิต