เนื้องอกรังไข่ โรคภัยใกล้ตัวของคุณผู้หญิงที่ไม่ควรมองข้าม
เนื้องอกรังไข่ (Ovarian Tumor) เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้ในผู้หญิงทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะในวัยเจริญพันธุ์เนื้องอกรังไข่เกิดจากการเจริญเติบโตของเซลล์ที่ผิดปกติในรังไข่ ซึ่งรังไข่เป็นอวัยวะที่สําคัญในระบบสืบพันธุ์ของผู้หญิงเนื้องอกรังไข่อาจมีทั้งแบบชนิดไม่ร้ายแรง ไม่ใช่มะเร็งและชนิดร้ายแรง มะเร็งรังไข่การรู้จักลักษณะของเนื้องอกรังไข่ สามารถช่วยให้ผู้หญิงสามารถดูแลและป้องกันตนเองได้ดียิ่งขึ้น วันนี้เราจะพูดถึงอาการ สาเหตุ และแนวทางการรักษา เนื้องอกรังไข่ การเตรียมตัวก่อนแหละหลังการผ่าตัด เพื่อให้คุณได้เรียนรู้และป้องกันพร้อมกับการเตรียมตัวเมื่อมันเกิดขึ้นกับคุณแล้ว
อาการของเนื้องอกรังไข่
อาการของเนื้องอกรังไข่อาจไม่ชัดเจนในระยะแรก ทําให้หลายคนไม่ทันสังเกตเห็น แต่เมื่อเนื้องอกโตขึ้น ผู้ป่วยอาจเริ่มมีอาการดังต่อไปนี้
- ปวดท้องหรือตึงท้อง: อาจมีอาการปวดบริเวณท้องน้อยหรือตึงท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ท้องอืด: ท้องอืดหรือรู้สึกแน่นท้องเนื่องจากเนื้องอกที่เติบโตในรังไข
- นํ้าหนักลดหรือนํ้าหนักเพิ่มอย่างรวดเร็ว: อาจเกิดขึ้นเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนหรือการเจริญเติบโตของเนื้องอก
- รู้สึกอิ่มเร็วหรือเบื่ออาหาร: เนื่องจากเนื้องอกในรังไข่อาจกดทับอวัยวะอื่นๆ ในช่องท้อง
- ปัสสาวะบ่อยหรือปัสสาวะลําบาก: เนื้องอกที่มีขนาดใหญ่สามารถกดทับกระเพาะปัสสาวะทําให้ต้องปัสสาวะบ่อย
- มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอด: โดยเฉพาะในผู้หญิงที่หมดประจําเดือนแล้ว
สาเหตุทีทําให้เกิด ‘เนื้องอกรังไข่’
สาเหตุของเนื้องอกรังไข่ยังไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจน แต่มีปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจทําให้เกิดเนื้องอกได้ ได้แก่
- กรรมพันธุ์: ผู้หญิงที่มีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งรังไข่หรือมะเร็งเต้านมมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดเนื้องอกรังไข่
- อายุ: ผู้หญิงที่มีอายุมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากอายุ 50 ปี มีโอกาสที่จะเกิดเนื้องอกรังไข่เพิ่มขึ้น
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน: การใช้ยาคุมกําเนิด ฮอร์โมนบําบัด หรือประวัติการตั้งครรภ์อาจมีผลต่อความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกรังไข่
- การตั้งครรภ์: ผู้หญิงที่ไม่เคยตั้งครรภ์หรือมีบุตรเมื่ออายุมากอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
- ปัจจัยสิ่งแวดล้อม: สารเคมีบางชนิดหรือปัจจัยจากสิ่งแวดล้อมอาจมีผลต่อการเกิดเนื้องอกรังไข่
ขอขอบคุณรูปภาพจาก โรงพยาบาลเพชรเวช
ประเภทของเนื้องอกรังไข่
เนื้องอกรังไข่สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ได้แก่
- เนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรง ( Benign Ovarian Tumors): เป็นเนื้องอกที่ไม่ใช่มะเร็ง และมักไม่ก่อให้เกิดอันตราย แต่หากมีขนาดใหญ่หรือกดทับอวัยวะข้างเคียงอาจทําให้เกิดอาการไม่สบายตัวได้
- เนื้องอกชนิดเสี่ยงต่อการกลายเป็นมะเร็ง (Borderline Ovarian Tumors): เป็นเนื้องอกที่มีความเสี่ยงในการเปลี่ยนแปลงเป็นมะเร็งในอนาคต ซึ่งต้องได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด
- เนื้องอกชนิดร้ายแรง ( Malignant Ovarian Tumors): เป็นมะเร็งรังไข่ที่ต้องการการรักษาอย่างเร่งด่วนเนื่องจากสามารถแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ ได้
วิธีการวินิจฉัยเนื้องอกรังไข่
หากคุณสงสัยว่ามีอาการที่เกี่ยวข้องกับเนื้องอกรังไข่ ควรพบแพทย์เพื่อทําการวินิจฉัย โดยวิธีการวินิจฉัยประกอบด้วย
- การตรวจร่างกาย: การตรวจร่างกายทั่วไปและการตรวจอุ้งเชิงกรานเพื่อสังเกตการเจริญเติบโตของเนื้องอก
- อัลตราซาวด์ (Ultrasound): เป็นวิธีการวินิจฉัยเบื้องต้นที่สามารถช่วยตรวจสอบลักษณะและขนาดของเนื้องอก
- การตรวจเลือด: ตรวจหาโปรตีนหรือสารเคมีที่อาจบ่งบอกถึงเนื้องอก เช่น การตรวจสาร CA-125 ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้เนื้องอกรังไข่
- การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) หรือการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI): เพื่อดูรายละเอียดของเนื้องอกและการแพร่กระจาย
วิธีการรักษาเนื้องอกรังไข่
การรักษาเนื้องอกรังไข่ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของเนื้องอก รวมถึงสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย โดยมีวิธีการรักษาหลัก ๆ ดังนี้:
1. การเฝ้าติดตามอาการ
- สําหรับเนื้องอกชนิดไม่ร้ายแรงหรือขนาดเล็กที่ไม่มีอาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนําให้เฝ้าติดตามอาการและทําการตรวจร่างกายเป็นประจํา
2. การผ่าตัด
- การผ่าตัดเนื้องอกเป็นวิธีการรักษาที่ใช้สําหรับเนื้องอกที่มีขนาดใหญ่หรือมีลักษณะเสี่ยงต่อการกลายเป็นมะเร็งโดยอาจผ่าตัดเฉพาะเนื้องอกหรือทั้งรังไข่ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค
3. การใช้เคมีบําบัด (Chemotherapy)
- หากเนื้องอกเป็นชนิดร้ายแรงหรือมีการแพร่กระจาย แพทย์อาจแนะนําให้ใช้เคมีบําบัดร่วมกับการผ่าตัดเพื่อกําจัดเซลล์มะเร็งที่เหลืออยู่
4. การใช้รังสีรักษา (Radiaon Therapy)
- การใช้รังสีรักษาอาจใช้ในกรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่หรือเป็นมะเร็งรังไข่ในระยะที่รุนแรง
การป้องกันเนื้องอกรังไข่
แม้ว่าเนื้องอกรังไข่บางชนิดไม่สามารถป้องกันได้ แต่การปฏิบัติตามแนวทางต่อไปนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงได้
- ตรวจสุขภาพประจําปี: การตรวจสุขภาพประจําปีและการตรวจภายในอย่างสมํ่าเสมอสามารถช่วยในการวินิจฉัยโรคในระยะเริ่มต้นได้
- การใช้ยาคุมกําเนิด: มีงานวิจัยที่แสดงว่าการใช้ยาคุมกําเนิดอาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกรังไข่ได้
- รับประทานอาหารทีมีประโยชน์ : อาหารที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ผักและผลไม้สด อาจช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกรังไข่
- ออกกําลังกายสมํ่าเสมอ: การออกกําลังกายช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและลดความเสี่ยงในการเกิดโรค
การเตรียมตัวก่อนผ่าตัดเนื้องอกรังไข่
การเตรียมตัวก่อนการผ่าตัดเนื้องอกรังไข่มีความสําคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากการเตรียมตัวที่ดีจะช่วยลดความเสี่ยงของภาวะแทรกซ้อนและเพิ่มโอกาสในการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ดังนี้:
1. พบแพทย์เพื่อรับคําปรึกษา
- การพบแพทย์เป็นขั้นตอนแรกที่สําคัญ แพทย์จะทําการวินิจฉัยชนิดและขนาดของเนื้องอก รวมถึงกําหนดวิธีการผ่าตัดที่เหมาะสม
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติการแพ้ยา การใช้ยาและอาหารเสริม รวมถึงโรคประจําตัวที่คุณมี เพื่อให้แพทย์สามารถเตรียมความพร้อมได้อย่างเหมาะสม
2. ตรวจร่างกายก่อนผ่าตัด
- แพทย์อาจแนะนําให้ทําการตรวจเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) หรือการถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า(MRI) เพื่อให้มั่นใจว่าร่างกายของคุณพร้อมสําหรับการผ่าตัด
- อาจต้องงดอาหารและเครื่องดื่มก่อนการผ่าตัดประมาณ 8-12 ชั่วโมง เพื่อเตรียมตัวสําหรับการให้ยาสลบ
3. งดการใช้ยาบางชนิด
- ยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด (เช่น ยาแอสไพริน) หรือยาที่มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ควรหยุดใช้ก่อนการผ่าตัด 1-2 สัปดาห์ ทั้งนี้ควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดใช้ยา
4. จัดการเรื่องครอบครัวและงาน
- วางแผนวันหยุดงานและการดูแลสมาชิกในครอบครัวล่วงหน้า เนื่องจากหลังผ่าตัดคุณอาจต้องการเวลาพักฟื้น
- ควรเตรียมสิ่งของจําเป็นที่ต้องใช้หลังการผ่าตัด เช่น เสื้อผ้าที่ใส่สบาย อาหารที่ย่อยง่าย และยาแก้ปวดตามคําแนะนําของแพทย์
ขั้นตอนการผ่าตัดเนื้องอกรังไข่
การผ่าตัดเนื้องอกรังไข่อาจมีหลายวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับขนาดและชนิดของเนื้องอก รวมถึงสุขภาพของผู้ป่วย วิธีการผ่าตัดที่พบบ่อยได้แก่
- การผ่าตัดผ่านกล้อง (Laparoscopic Surgery): เป็นการผ่าตัดผ่านทางกล้องที่มีขนาดเล็กโดยทําให้มีแผลเล็กลงและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
- การผ่าตัดแบบเปิด (Laparotomy): ใช้ในกรณีที่เนื้องอกมีขนาดใหญ่หรือซับซ้อนมาก ซึ่งแพทย์จะทําการผ่าตัดแบบเปิดเพื่อตรวจสอบและกําจัดเนื้องอกให้หมดไป
การดูแลตนเองหลังจากการผ่าตัดเนื้องอกรังไข่
หลังการผ่าตัดเนื้องอกรังไข่ การดูแลตนเองอย่างถูกต้องจะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อน การปฏิบัติตัวหลังผ่าตัดมีดังนี้
1. การพักผ่อนอย่างเพียงพอ
- ในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรพักผ่อนให้เพียงพอและหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ใช้แรงมาก
- หลีกเลี่ยงการยกของหนักและการออกกําลังกายที่ใช้แรงมาก ควรรอให้แพทย์อนุญาตก่อนเริ่มทํากิจกรรมต่าง ๆ
2. การดูแลแผลผ่าตัด
- แผลผ่าตัดควรได้รับการดูแลอย่างสะอาดและแห้ง หากแพทย์สั่งให้เปลี่ยนผ้าปิดแผล ควรปฏิบัติตามคําแนะนําอย่างเคร่งครัด
- หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีนํ้าเหลืองหรือหนองไหลออกจากแผล แผลบวมแดงหรือมีไข้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
3. การรับประทานอาหารที่เหมาะสม
- หลังผ่าตัด ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก ข้าวต้ม หรือซุปใส และค่อย ๆ กลับไปทานอาหารปกติเมื่อร่างกายฟื้นตัว
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงหรืออาหารเผ็ดร้อน รวมถึงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์และคาเฟอีน
4. การดื่มนํ้าเพียงพอ
- ดื่มนํ้าให้เพียงพอในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้ระบบทางเดินอาหารทํางานได้ดีขึ้นและป้องกันการเกิดท้องผูก
- หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีนํ้าตาลสูง หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนมากเกินไป
5. การเคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ
- หลังผ่าตัด 1-2 วัน ควรเริ่มเคลื่อนไหวร่างกายเบา ๆ เช่น การเดินช้า ๆ ภายในบ้าน เพื่อช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทํางานดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการเกิดลิ่มเลือด
- หลีกเลี่ยงการออกกําลังกายหนัก จนกว่าแพทย์จะให้คําแนะนําว่าสามารถทําได้
6. การรับประทานยาอย่างถูกต้อง
- รับประทานยาตามคําแนะนําของแพทย์ เช่น ยาแก้ปวด ยาลดการอักเสบ หรือยาอื่น ๆ ที่แพทย์สั่ง
- หากมีผลข้างเคียงจากยา เช่น คลื่นไส้ อาเจียน หรือแพ้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทันที
การตรวจติดตามหลังผ่าตัด
การติดตามผลหลังผ่าตัดมีความสําคัญเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีเนื้องอกใหม่เกิดขึ้นหรือไม่มีการแพร่กระจายของเซลล์ผิดปกติ
- ควรทําการตรวจสุขภาพตามนัดหมายของแพทย์อย่างสมํ่าเสมอ
- หากมีอาการผิดปกติ ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาเพิ่มเติม
“…เนื้องอกรังไข่เป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ การรู้จักและเข้าใจอาการของเนื้อ
งอกรังไข่สามารถช่วยให้เราเตรียมพร้อมในการดูแลสุขภาพของตนเองได้ดียิ่งขึ้น การตรวจสุขภาพประจําปีและการตรวจ
ภายในอย่างสมํ่าเสมอเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันและตรวจหาความผิดปกติเกี่ยวกับเนื้องอกรังไข่ในระยะเริ่มต้น ทั้งนี้
หากพบอาการผิดปกติ ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับคําปรึกษาและการรักษาที่เหมาะสมที่สุด…”
อ้างอิง